การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีการที่ใช้แสงเลเซอร์เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวหนัง รักษาปัญหาผิวพรรณต่าง ๆ หรือกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกาย โดยเลเซอร์ได้ถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งการรักษาสิว ลดเลือนริ้วรอย แก้ปัญหาหลุมสิว รวมถึงการลบรอยสักและรอยแผลเป็น บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับขั้นตอนและวิธีการรักษาด้วยเลเซอร์ว่ามีขั้นตอนอย่างไร และสามารถทำอะไรได้บ้าง
การรักษาด้วยเลเซอร์คืออะไร?
เลเซอร์ (Laser) คือเทคโนโลยีที่ใช้แสงในการรักษาปัญหาต่าง ๆ บนผิวหนัง โดยแสงเลเซอร์เป็นแสงที่มีพลังงานสูงและมีความเข้มข้น ทำให้สามารถเจาะลึกเข้าไปยังชั้นผิวหนังที่ต้องการรักษาได้อย่างแม่นยำ แสงเลเซอร์สามารถทำงานได้อย่างละเอียดและควบคุมได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมสำหรับการรักษาที่ต้องการความละเอียดสูง โดยเลเซอร์สามารถใช้รักษาได้หลากหลายรูปแบบ เช่น
- รักษาปัญหาสิวและหลุมสิว
- ลบรอยสักและรอยแผลเป็น
- กำจัดขนถาวร
- ลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวที่เสียหายจากแสงแดด
วิธีการรักษาด้วยเลเซอร์มีแบบใดบ้าง?
การรักษาด้วยเลเซอร์มีหลายประเภทขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษา โดยแต่ละประเภทจะมีวิธีการทำงานและประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไป ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะของแสงเลเซอร์ ดังนี้:
1. Fractional Laser
Fractional Laser เป็นการใช้เลเซอร์ในการสร้างความเสียหายเล็ก ๆ ลงไปบนผิวหนัง เพื่อลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขน และฟื้นฟูผิวหนังที่เสียหายจากแสงแดด เลเซอร์ชนิดนี้มีความละเอียดสูง จึงเหมาะกับการรักษาปัญหาผิวแบบลึก เช่น หลุมสิวหรือแผลเป็นที่เกิดจากการบาดเจ็บ
2. CO2 Laser
CO2 Laser เป็นเลเซอร์ที่สามารถเจาะลึกไปถึงชั้นใต้ผิวหนัง และมีประสิทธิภาพในการรักษาหลุมสิวที่ลึกมาก เลเซอร์ชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูผิวในระยะยาว แต่ต้องการผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนในเวลาที่สั้น
3. IPL (Intense Pulsed Light)
แม้ว่า IPL ไม่ใช่เลเซอร์ที่แท้จริง แต่เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานแสงในการรักษาปัญหาผิว เช่น รอยแดง ฝ้า กระ และการกำจัดขน IPL ทำงานได้ดีสำหรับการรักษาผิวหนังที่มีปัญหาไม่ลึกมาก เช่น รอยสิวหรือริ้วรอยเล็กน้อย
ขั้นตอนการรักษาด้วยเลเซอร์
การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ขั้นตอนการรักษาด้วยเลเซอร์ทั่วไปมีดังนี้:
1. การประเมินและวางแผนการรักษา
ก่อนเริ่มการรักษา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการประเมินสภาพผิวของผู้ป่วย รวมถึงตรวจสอบปัญหาที่ต้องการรักษา เช่น ปัญหาริ้วรอย หลุมสิว หรือรอยสัก เพื่อเลือกประเภทเลเซอร์และวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดกับสภาพผิวและปัญหาของผู้ป่วย
2. การเตรียมผิวก่อนการรักษา
ในบางกรณีแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยเตรียมผิวหน้าด้วยการใช้ครีมหรือยาต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการรักษา และช่วยให้ผลการรักษาดีขึ้น สำหรับบางประเภทของเลเซอร์ อาจมีการทายาชาเฉพาะที่หรือใช้ยาชาแบบเจล เพื่อบรรเทาอาการเจ็บหรือไม่สบายในระหว่างการรักษา
3. การยิงเลเซอร์
เมื่อผิวพร้อมสำหรับการรักษา แพทย์จะใช้เลเซอร์ยิงลงบนบริเวณที่ต้องการรักษา การรักษาด้วยเลเซอร์ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดของพื้นที่ที่ต้องการรักษา โดยเครื่องเลเซอร์จะส่งพลังงานแสงลงไปยังผิวหนังชั้นลึก กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ หรือทำลายเซลล์ผิวที่ต้องการรักษา
4. การดูแลหลังการรักษา
หลังจากการทำเลเซอร์ ผู้ป่วยอาจมีอาการแดงหรือบวมเล็กน้อยในบริเวณที่รักษา ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 2-7 วัน ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้ แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ครีมบำรุงผิวเพื่อช่วยในการฟื้นฟูผิวหนังที่ได้รับการรักษาด้วยเลเซอร์
ผลข้างเคียงและการดูแลหลังการรักษา
หลังจากการรักษาด้วยเลเซอร์ ผู้ป่วยอาจพบอาการบวม แดง หรือคันบริเวณที่ได้รับการรักษา ซึ่งถือเป็นอาการปกติที่มักจะหายไปในเวลาไม่นาน ในบางกรณีอาจเกิดรอยด่างดำหรือผิวลอกได้ ดังนั้นผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และใช้ครีมกันแดดอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ทั้งการใช้ครีมบำรุง การหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจระคายเคืองผิว และหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากหลังการรักษา
การรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาผิวพรรณและฟื้นฟูสภาพผิว โดยมีขั้นตอนที่ปลอดภัยและสามารถให้ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัด แต่การรักษาด้วยเลเซอร์ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและต้องมีการดูแลผิวหลังการรักษาอย่างเหมาะสม